วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ผู้หญิงชื่อ Kim phuc











มีภาพอยู่ภาพหนึ่งที่เผยแพร่ - โด่งดังจนได้รับรางวัลระดับโลก

หนังสือพิมพ์บ้านเราก็ยังเอามาลงหน้า ๑ อยู่บ่อยๆ






"ภาพที่เด็กหญิงคนหนึ่ง

เนื้อตัวล่อนจ้อน ตื่นตระหนกตกใจ ยืนร้องไห้อยู่กลางถนนคนเดียว ท่ามกลาง

ความสับสนอลหม่านของชาวบ้านที่แตกฉานซ่านเซ็นหนีตาย ท่ามกลางควัน

โขมงจากไฟระเบิดนาปาล์มของสหรัฐ "




 



'คิมฟุค' คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้น ซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้

ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย แม้เธอ จะรอดตายจากระเบิด

นาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ







แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง

๖๕% เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง ๑๔ เดือน และผ่านการผ่าตัด

ถึง ๑๗ ครั้ง กว่าจะหายเป็นปกติ เธอยังโชคดี เมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้อง

อีก ๒ คน ซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว









นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๑๕ เมื่อเวียดนามกลายเป็น

คอมมิวนิสต์ ๓ ปีต่อมา ก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย

แต่แล้ววันหนึ่งในปี พ.ศ.๒๕๓๙ คิมฟุคก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า

ชาวอเมริกัน ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องใน

โอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.







การได้มาเผชิญหน้ากับบุคคล ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยมาทำลายบ้านเกิดเมือง

นอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอ

ให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอก

ให้พวกเราว่า สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง













หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจ

ว่า มีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ





พูดมาถึงตรงนี้ ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ใน

ห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า



'ฉันอยากบอกเขาว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดีๆ

เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจุบัน และอนาคต'















เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้อง

หน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง

เขาพูด ด้วยสีหน้าเจ็บปวด ว่า 'ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ'





คิมเข้าไปโอบกอดเขา แล้วตอบว่า 'ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย'

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย



คิมฟุคเล่าว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและ

ทั้งใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร แต่แล้วเธอก็พบว่า









สิ่งที่ทำร้ายเธอจริงๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่

ความเกลียดชังที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง

ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้'





เธอพยายามสวดมนต์ และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์

ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า



'หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่

ได้โดยไม่ต้องเกลียด'





เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เรา





สามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้ เราไม่อาจเลือกได้ว่า รอบตัวเรา

ต้องมีแต่คนน่ารัก พูดจาอ่อนหวาน แต่เราสามารถเลือกได้ว่า จะทำใจ

อย่างไร เมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา











คิมฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า





'ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตฉันก็ดีขึ้น'





บทเรียนของคิมฟุค คือ ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ 

เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต 





แต่เราสามารถเรียนรู้ จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคต

ให้ดีขึ้นได้ บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ





การอยู่กับความโกรธ เกลียดและความขมขื่น นั้น ทำให้เธอเห็นคุณค่าของการให้อภัย































ที่มา : http://www.unigang.com/Article/8257

____________________

เครดิต : โอเคเนชั่น

________________________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น