วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บึงผีสิง

สมัยเด็กผมอยู่บ้านหนองคู อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเคยเรียกกันว่าจังหวัดขุขันธ์ อันเป็นจังหวัดชายแดนติดกับกัมพูชา

คำว่า "หมอเขมร" ก็เกิดขึ้นที่นี่แหละครับ...เป็นที่รู้กันว่าหมอเขมรน่ะหมายถึงหมอไสยศาสตร์ ที่ช่ำชองเรื่องไสยดำ อาถรรพณ์เวทอันเร้นลับน่าสยดสยอง แน่ล่ะครับ ว่าต้องหนีเรื่องภูตผีปีศาจไปไม่พ้น

พูดถึงเรื่องผีๆ สางๆ นี่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ชอบฟังทั้งนั้น ถึงจะไม่เคยโดนผีหลอก แต่ก็กลัวผีกันทุกคน พวกผู้ใหญ่เขาว่ามันก็ดีไปอย่าง เด็กๆ กลัวผีจะได้ไม่ไปซุกซนที่เปลี่ยวๆ หรือตกน้ำตกท่าเพราะลับหูลับตาพวกผู้ใหญ่

ที่แถวบ้านผมมีหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีปลาชุกชุมมาก ลุงเหลือกับลุงใสชอบชักชวนกันไปทอดแหที่หนองน้ำใหญ่นั้นบ่อยๆ ส่วนมากจะไม่ผิดหวัง ได้ปลาตัวโตๆ มากินเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา


วันนั้นสองสหายหาปลาแทบไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเหล่ามัจฉาน้อยใหญ่มันหลบหนีไปซุกซ่อนอยู่ที่ไหนหมด มีแต่ปลาเล็กปลาน้อยมาติดแหเท่านั้น ต่างคนต่างบ่นพึมเป็นหมีกินผึ้งไปตามๆ กัน ลุงเหลือถึงกับฮึดฮัดไม่หยุดหย่อน...อย่าว่าแต่จะเอาไปผัดไปแกงเป็นกับข้าวเลย แค่เอาไปทำแกล้มกินกับเหล้าก็ยังไม่พอ!

จนกระทั่งมืดค่ำเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว...

ลุงใสเหวี่ยงแหโครมลงไปเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้ถึงกับตาลุก ร้องว่าได้ไอ้ดุกไอ้ช่อนตัวเท่าน่องแล้ว เพื่อนเอ๋ย...ก่อนจะช่วยกันดึงแหขึ้นมา เพ่งมองไปในความสลัวก็เห็นอะไรขาวๆ ดิ้นขลุกขลักเต็มแห แต่เมื่อมองเห็นถนัดว่าอะไรเป็นอะไรก็ร้องจ้าสุดเสียง

นั่นคือ...ไม่มีปลาตัวโตๆ อย่างที่นึกกระหยิ่มใจ แต่กลับเป็นหัวกะโหลกขาวโพลนนับสิบๆ หัวที่กำลังหันขวับมาหัวเราะร่า อ้าปากปะหงับๆ จนสองเกลอปล่อยแหหลุดมือหันหลังกลับ ร้องแต่ว่า ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย...พลางวิ่งแหกป่าแหกดงกลับบ้านไม่คิดชีวิต...สบถสาบานว่าจะไม่ขอย่างกรายไปที่หนองน้ำผีสิงอีกต่อไป

ตากรีกับตาบ่ายรู้ข่าวก็หัวเราะร่า ประกาศว่าพวกแกไปหาปลาตั้งแต่สมัยหนุ่มจนผมหงอกเต็มหัว ไม่เคยกลัวผีสางนางไม้ที่ไหน...ต่อไปจะไปหาปลาที่หนองใหญ่มากินทุกๆ วัน

รุ่งขึ้นชายชราทั้งสองก็เจอดีเข้าอย่างจัง!

หลังจากช่วยกันลากแหหนักอึ้งพักใหญ่ โดนดึงกลับจนต้องลุยน้ำที่ริมขอบหนองลงไป กระทั่งดึงแหขึ้นมาได้...ปรากฏว่าไม่มีปลา ไม่มีหัวกะโหลก แต่เป็นร่างศพผู้หญิงผมยาวกำลังขึ้นอืด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งจนสองเกลอหงายตึงลงน้ำด้วยความตกใจสุดขีด

ต่างคนต่างตะเกียกตะกายขึ้นบกได้ก็เผ่นกระเจิง ล้มลุกคลุกคลานเหมือนหนุมานคลุกฝุ่นจนถึงบ้าน...สองสหายเล่าเหตุการณ์กระท่อนกระแทนก่อนจะสิ้นสติไป

ตากรีจับไข้ได้สองวันก็ขาดใจตาย ส่วนตาบ่ายก็กลายเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้...ไม่มีใครกล้าไปหาปลาที่หนองน้ำนั้นตอนกลางคืนอีกเลย!

พ่อเคยชวนผมไปตกเบ็ดตอนกลางวันแสกๆ ต้นตาลที่ดกหนาร่มครึ้ม ทำให้บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจ ลมเจ้ากรรมก็พัดซ่าๆ ไม่หยุดหย่อน ใบตาลแก่ๆ แกว่งไกวแกรกกราก...เล่นเอาผมเหลียวซ้ายแลขวาไม่หยุดหย่อนจนต้องนั่งเบียดพ่อแจ พึมพำว่า...ทำไมไม่มีใครมาตกเบ็ดทอดแหกันสักคน?

พ่อชักคันเบ็ดขึ้นมาเก็บ พูดเบาๆ ว่า...เอ็งลองมองดูอีกทีซิว่ามีกี่คนกันแน่?

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองรอบๆ แล้วต้องอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป...รอบบึงใหญ่นั้นมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เด็กๆ ก็มี กำลังนั่งตกปลาตัวแข็งทื่อหลายสิบคน...ก่อนจะร้องโวยวาย พ่อก็ฉุดมือผมลุกขึ้นยืน แล้วออกเดินช้าๆ พลางกระซิบว่า...อย่าหันไปมองพวกมัน!

นี่ขนาดกลางวันแสกๆ นะ ยังมาหลอกกันจะๆ  ยอดตาลไหวซ่า เล่นเอาขาผมแข็งทื่อแทบจะก้าวไม่ไหว อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกจนกระทั่งถึงบ้าน...ไม่ขาดใจตายเพราะบึงผีสิงอย่างตากรีก็บุญโขแล้วครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น