โกส่ายกับดิฉันเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดกัน มีอะไรก็แบ่งปันกัน โกส่ายเป็นคนงานเลื่อยไม้ ต่อมาเมื่อแต่งงาน รายได้คงไม่พอเลี้ยงชีพ โกส่ายจึงเปลี่ยนอาชีพเป็นหาบเนื้อหมูขายตามบ้าน กว่าจะขายได้ก็ต้องเร่ขายไปทั่ว วันไหนขายดีก็หมด วันไหนขายไม่ดีเนื้อหมูเหลือกลับบ้าน นอกจากไม่ได้เงินแล้ว กลับบ้านยังถูกเมียปากไวบ่นว่า
บ้านของดิฉันอยู่ใกล้บ้านโกส่ายประมาณ 10 เมตร เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว มีชานหน้าบ้านเป็นที่นั่งเล่น บนแคร่ริมถนนมีโอ่งดินและกระบวยน้ำตั้งไว้ด้วย ที่แคร่หน้าบ้านของฉันนี้ได้เป็นที่พักเหนื่อยของโกส่ายทุกวันหลังจากหาบหมูขายมาทั้งวัน ครอบครัวของฉันกับโกส่ายจึงคุ้นเคยกัน
ต่อมาได้ข่าวว่าเมียโกส่ายตั้งท้อง ทุกคนพากันดีใจ แต่ไม่ทราบว่าเวรกรรมอะไร เมียเกิดคลอดลูกตายทั้งแม่ทั้งลูก ทำให้แกซึมหยุดขายหมูไปหลายวัน
เย็นวันหนึ่ง ขณะโกส่ายมานั่งหยุดพักดื่มน้ำอยู่หน้าชานบ้านของดิฉัน วันนั้นแกพักอยู่นานมาก สังเกตดูเงื่องหงอยซึมเซา สีหน้าหมองคล้ำ นั่งๆอยู่ก็ปรารภออกมาว่า “อาเจ๊ อั๊วคงอยู่ไปล่ายอีกไม่นาน” ดิฉันจึงถามว่าเป็นอะไรหรือ แกก็ตอบออกมาแปลกๆว่า “อั๊วรู้สึกจายหาย หวากๆ กลัวๆ พิกง”
วันรุ่งขึ้น โกส่ายก็ออกไปขายเนื้อหมูเหมือนเดิม แต่ตกเย็นวันนั้นไม่พบโกส่ายมานั่งพักเหนื่อยดื่มน้ำเย็นเช่นทุกวัน
ตกกลางคืนฉันตื่นขึ้นมากลางดึก นึกขึ้นมาได้ว่า ลืมเก็บปลาย่างที่ใส่ตะแกรงแขวนตากไว้ที่ราวนอกชาน จึงเปิดประตูหน้าบ้านออกมา มองเห็นคนคนหนึ่งรูปร่างคุ้นตานั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้าน เค้าค่อยๆหันมามองทางฉัน
ประหลาดอะไรเช่นนั้นที่ศีรษะหมุนมาด้านหลังโดยลำตัวยังนั่งตรงอยู่บนแคร่ ดิฉันออกจะรู้สึกพิกลอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าคงตาฝาด จึงเดินไปเก็บตะแกรงปลาย่างโดยไม่ได้ทักถาม เพราะแคร่หน้าบ้านเป็นที่นั่งพักของผู้คนที่ผ่านไปมาเป็นประจำอยู่แล้ว ทั้งกลางวันและกลางคืน
ดิฉันตื่นมาตอนรุ่งสาง ได้ยินเสียงคุยกันเอะอะที่ถนนหน้าบ้าน เปิดประตูร้องถามออกไปจึงทราบว่า ญาติทางเมียของโกส่ายที่อยู่เรือนติดกันมาไต่ถามถึงโกส่าย เพราะแกหายไปทั้งคืนจนตอนนี้ก็ยังไม่กลับ ดิฉันตกใจและนึกสังหรณ์ถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
พอสว่างดี บรรดาผู้ชายแถวนั้นก็อาสาออกติดตามหาโกส่ายในเส้นทางที่แกเคยเร่ขายเนื้อหมู แล้วก็ได้พบโกส่ายในสภาพหัวขาด นอนจมกองเลือดอยู่ในทุ่งนา อาวุธที่ใช้ฆ่าแกก็คือมีดหมูที่คมกริบของแกเอง สภาพศพนอนเปรอะเปื้อนดินตากน้ำค้างอยู่อย่างน่าเวทนา ในถุงเงินและกระเป๋าเสื้อกางเกงไม่มีเงินอยู่แม้แต่สตางค์แดงเดียว คงถูกคนร้ายสะกดรอยตามมานาน และทำร้ายปล้นทรัพย์สินของโกไปตอนขากลับนั่นเอง ที่นั่นเปลี่ยวไกลผู้คน ศพจึงนอนคอขาดตากน้ำค้างอยู่ทั้งคืน
โกส่ายได้จบชีวิตที่แสนอาภัพไปแล้ว พวกเราได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เนืองๆ โกส่ายจากบ้านเกิดเมืองนอนมา หวังจะมาอยู่อย่างเป็นสุขในประเทศไทยของเรา แต่ก็มีเวลาเป็นสุขได้ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น และดิฉันเชื่อแน่ว่า ในความสุขชั่วครู่ชั่วยามที่โกส่ายเคยได้รับเสมอมานั้น คือ ‘แคร่หน้าบ้านของดิฉัน’ ซึ่งปัจจุบันได้เอาออกไปแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น