วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ผีเรือน

เรื่องผีนี่มีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง คือเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของผู้ที่ได้เจอะเจอเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือ มีแต่ตัวคนที่ถูกผีหลอกเท่านั้นแหละที่ได้รู้ได้เห็น คนอื่นๆ แทบจะไม่เกี่ยวเลย แถมมีน้อยรายที่จะโดนผีหลอกด้วยกัน

เผลอๆ เล่าให้ใครฟังเขาก็ไม่เชื่อหรอกครับ หาว่าเพ้อเจ้อเลอะเทอะ!

ผมเคยอยู่โยงเฝ้าบ้านตามลำพัง เพราะพ่อแม่กับน้องชายไปต่างจังหวัดกันหมด ขณะที่ผมติดสอบ...และคืนนั้นเองผมก็ถูกผีหลอก

หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็เดินดูความเรียบร้อยรอบๆ บ้าน มีหมา 3 ตัว (หมาไทย) คอยตามติด มีคุณสมบัติเห่าเก่ง ดุมาก แต่ขี้ประจบเป็นที่หนึ่ง มีหมาแบบนี้ก็สบายใจไปอย่าง คือถ้าใครแหย็มเข้ามาในบ้าน หรือแค่ด้อมๆ มองๆ ที่ประตู เจ้า 3 ตัวก็เห่ากระโชกซะขวัญบินแล้วละครับ

ผมดูล็อกประตูรั้ว ประตูบ้านเรียบร้อยแล้วรูดม่าน ปิดไฟ แต่ทันทีที่มือกดสวิตช์แชะ ไฟมึดพรึบ! วินาทีนั้นก็มีเสียงคนใส่รองเท้าแตะวิ่งอย่างเร็วผ่านหน้าผมไป โดยมีแค่ประตูกระจกและผ้าม่านกั้น!

โดยสัญชาตญาณ ผมตลบผ้าม่านมองออกไปทันที...

ขณะนั้น ภายในบ้านมืดสนิทก็เลยมองเห็นภายนอกชัดเจน...สว่างด้วยแสงจันทร์ และไฟถนน คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงครับ ภาพที่ผมเห็นมีแต่สนามหญ้าและต้นไม้ มันเป็นไปได้ยังไง...เสียงคนวิ่งชัดๆ แถมดังมากซะด้วย วิ่งตั้บๆๆ ผ่านหน้าไปทางขวามือ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตรงนั้นก็คือกำแพง ไม่มีทางหลบไปไหนหรอกครับ

ผมงงเต้ก...คิดว่าอาจเป็นเสียงคนวิ่งที่ถนนหน้าบ้านมั้ง? เอ...แต่ผมฟังไม่ผิดนะ เขาวิ่งจากซ้ายผ่านมาทางขวา! ช่างเถอะ...อย่าคิดมาก ไปดูหนังสือต่อดีกว่า สามทุ่มแล้ว

ผมเดินขึ้นบันไดมืดๆ อย่างนั้นแหละ บ้านเราเองนี่นา! เดินขึ้นเดินลงทุกวัน หลับตาเดินยังได้ พอถึงสุดบันไดก็เปิดไฟไว้แล้วเลี้ยวเข้าห้อง เปิดไฟสว่างจ้า เปิดแอร์ เอาตำราขึ้นไปอ่านทบทวนบนเตียง

ไม่ถึง 5 นาที เสียงประหลาดนั้นมาอีกแล้ว! คราวนี้วิ่งกับพื้นซีเมนต์รอบบ้าน...รอบเลยจริงๆ ครับ ไม่ใช่วิ่งออกกำลังกายเหยาะๆ นะ แต่เหมือนคนที่กำลังตาลีตาเหลือกวิ่งหนีอะไรสักอย่าง ผมวางหนังสือลงแล้ว...งงมากเลย หมาก็ไม่เห่า แต่มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ

เป็นความผิดปกติที่ผิดธรรมชาติเลยทีเดียว!

ขณะกำลังงงอยู่นั้น เหตุการณ์ก็เพิ่มดีกรีความสยองหนักหน่วงกว่าเก่า เสียงคนใส่รองเท้าและวิ่งตั้บๆ นั้น เล่นเอาผมมองตามเสียง...ไต่เดี๊ยะมาตามผนังด้านนอก จากชั้นล่างขึ้นมาชั้นสอง แล้วขึ้นหลังคา

ผมร้องเฮ้ย! คว้าผ้าห่มมาคลุมโปง หนังสือกระเด็นไปทางไหนไม่รู้เลย เสียงวิ่งคึ่กๆ บนหลังคาน่ากลัวสุดบรรยาย มันดังข่มขวัญกันน่าดู ผมเองไม่เคยกลัวอะไรถึงกับตัวสั่นเอามืออุดหู หลับตาปี๋ สวดมนต์แบบจับต้นชนปลายไม่ถูก

พักใหญ่ ทุกอย่างก็เงียบสงัด ผมเอามือคลายจากหูที่ถูกอุดแน่นจนชาหนึบ เนื้อตัวปวดไปทั้งร่าง เหนื่อยใจจะขาด...แต่ที่แย่กว่านั้นคือ มันน้อยใจนิดๆ

ทำไมต้องทำกับผมอย่างนี้? นี่บ้านผมนะ...ผมกำลังดูหนังสือด้วย!

เชื่อไหมครับ ผมน้ำตาไหลเลยละ! คิดว่าบ้านนี้เราอยู่มาแต่อ้อนแต่ออก ไม่เคยรู้สักนิดว่ามีผี! วันนี้อยู่คนเดียว ไม่ได้ไปเที่ยวกับใครเขา อุตส่าห์เป็นเด็กดียังมาหลอกกันได้...ผีบ้านผีเรือนละสิเนี่ย ไม่น่าทำอย่างนี้เลยนะ

ทั้งบ้านเงียบสงัด ในบรรยากาศมีอะไรบางอย่าง ไม่มีตัวตน มีแต่ความรู้สึก มันเหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังสำนึกผิดอย่างอายๆ ที่คึกคะนองเกินเหตุ!

ผมค้อนลมค้อนแล้ง ไม่ดูแล้วหนังสือ ดีนะที่ตั้งใจเรียนมาแต่แรก ถึงไม่ดูคืนนี้ก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้คงทำข้อสอบได้แต่ถ้าคะแนนไม่ดีนะ...ฮึ! น่าดู!

พอพ่อแม่กับน้องๆ กลับมา ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

อ้าว? พวกเขามองผมกึ่งเชื่อกึ่งขำ คงคิดว่าผมฝันร้าย หรือสมองเพี้ยนชั่วขณะ เพราะอยู่ตามลำพังในบ้านอันเวิ้งว้างเงียบเหงา

มีอีกเรื่องผมโดนผีหลอกกับเจ้าเปี๊ยก-น้องชาย!

วันนั้นเราไปบ้านคุณย่าที่บางนา หลังบ้านคุณย่ามีคูน้ำและที่รกร้าง ผมเดินไปใกล้ๆ ตรงนั้นกับเจ้าเปี๊ยก เพราะจะไปจับแมลงมาให้แมงมุมที่ผมเลี้ยง

ทันใดนั้น ผมเห็นผู้หญิงเนื้อตัวเขียวๆ ดำๆ เปื้อนโคลนตม เดินขึ้นมาจากคูแล้วหายไปกลางอากาศยามโพล้เพล้ ผมตกตะลึงอ้าปาก หันมาจะบอกเจ้าเปี๊ยก แต่ก็เห็นมันกำลังเอามืออุดจมูกแน่น...

สรุปว่า ผมเห็นผีเต็มตาชนิดจังๆ ส่วนเจ้าเปี๊ยกไม่เห็นอะไร แต่ได้กลิ่นเน่าอย่างเดียวเท่านั้นเอง!

เราไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่คุณย่าเล่าว่า เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนมีคนฆ่ากัน เอาศพมาทิ้งคูน้ำ

เรื่องนี้ถ้าไม่เห็นกับตาก็เชื่อยากละครับว่ามีจริง

เออ...ว่าแต่คุณๆ เคยโดนผีหลอกมั่งหรือเปล่า? ถ้าเคยก็เขียนเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกมาสู่กันฟังบ้างซีครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น