วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

ผมไม่อยากตาย

ดิฉันอยู่แถวรัชดาตัดใหม่ ด้านหน้ามีหอพักและตึกแถว พอเข้าซอยไปก็มีทางแยกวกวน บ้านเรือนคับคั่ง ความเจริญเกิดขึ้นราว 20 ปีได้ ยิ่งมีถนนตัดใหม่และทางด่วนขึ้น-ลงเมื่อ 10 ปีเศษมานี้ยิ่งทำให้บ้านช่องแน่นหนา รถราขวักไขว่ตลอดทั้งวัน

จำได้ว่าตอนที่เกิดอุบัติเหตุสยองเป็นเวลาบ่ายจัด ใกล้จะเย็นวันอาทิตย์

ดิฉันกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ริมรั้ว มีทั้งกระถางว่านนานาชนิดของพ่อกับโป๊ยเซียนอีกราวสิบกระถางของแม่ ไหนจะเทียนหยด กุหลาบและมะลิซ้อนของดิฉัน อ้อ! ไลแลคดอกขาวสะพรั่งหอมกรุ่นอีกต้นหนึ่ง ว่าจะทำค้างให้เลื้อยก็ยังไม่ได้โอกาสเสียทีค่ะ

จู่ๆ ก็มีเสียงโครมสนั่นขึ้นใกล้ๆ ตกใจจนสายยางรดน้ำหล่นจากมือเลย

มีเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เสียงรถแล่นตะบึงห่างไป...ดิฉันวิ่งไปเปิดประตูรั้วโดยไม่รู้ตัว นึกอยู่แต่ว่า ...รถชนกัน!


จริงดังคาด ผู้ชายคนหนึ่งนอนดิ้นอยู่บนถนน ใกล้ๆกับมอเตอร์ไซค์ที่ล้ม เลือดเปรอะไปทั้งตัวกับไหลนองอยู่บนถนน พร้อมๆ กับเสียงร้องโอ๊ยๆ อยู่ตลอดเวลา

"ช่วยด้วย! โอย....เจ็บเหลือเกิน...."

ดิฉันตัวชา ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก อยากจะร้องกรี๊ดๆ แข่งด้วยซ้ำ เห็นหน้าเขาขาวซีด ปากอ้า ตาเบิกกว้าง มีเลือดที่ขมับขวานิดหน่อย แต่ร่างกายดูเละเทะยับเยิน

"ผมยังไม่อยากตาย! ช่วยด้วย...ผมไม่อยากตาย...." เสียงเขาขาดเป็นห้วงๆ สำลักเลือดอย่างน่ากลัว ได้ยินเสียงฝีเท้าคึ่กๆ พอเงยขึ้นมองก็เห็นเพื่อนบ้านหลายคนกำลังวิ่งตรงเข้ามา

"คุณๆ ช่วยด้วย...." เสียงนั้นแหบแห้งเต็มที "ผม...ผมไม่อยากตาย...."

อีกครั้งที่ดิฉันก้มมอง ม่านตาพร่าพราย...แต่คิดว่าเห็นใบหน้าขาวซีดของชายหนุ่มเคราะห์ร้ายผู้นั้นเปียกชุ่ม น้ำตาไหลเป็นทาง

"เอาไปส่งโรงพยาบาลเร็วๆ เกษมราษฎร์นี่แหละ!" เสียงใครคนหนึ่งดังมากระทบหูแว่วๆ เต็มที ขณะที่ดิฉันเห็นนัยน์ตาเปียกชุ่มนั้นลืมค้าง เบิกโพลง ตามด้วยเสียงถอนใจยาวของใครที่ดังอยู่ใกล้ๆ หู

"เขาตายแล้ว โทร.ไปแจ้งตำรวจดีกว่า"

เวลาผ่านไป 7 วัน เป็น 7 วันที่แย่มากค่ะ เพราะภาพก่อนตายของชายแปลกหน้าผู้นั้นติดตาตลอด ไม่ว่าหลับหรือตื่น แว่วเสียงวิงวอนที่ดังอยู่ในความทรงจำไม่มีวันจางหาย...ผมยังไม่อยากตาย!

แม้แต่ในความฝันก็เห็นเขานอนจมกองเลือดอยู่ที่เดิม จ้องมองพลางคร่ำครวญอย่างน่าเวทนา...ช่วยด้วย! ผมไม่อยากตาย....

บางครั้งนึกถึงคำว่า "อยู่ผิดที่-ผิดเวลา" แล้วโกรธตัวเองค่ะ ทำไมดิฉันถึงออกมารดน้ำต้นไม้ตอนนั้น? ทำไมไม่นั่งดูทีวีหรือนอนอยู่ชั้นบน? ทำไมไม่ออกไปเที่ยวเตร่หรือเที่ยวหาซื้อของในห้างสรรพสินค้า? จะได้ไม่ต้องประสบกับภาพสยองขวัญนั้น

บางคืนได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านก็ใจหายวาบ มีอยู่คืนหนึ่งได้ยินเสียงโครมสนั่นเหมือนวันนั้น รีบลุกไปมองทางหน้าต่างแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย

จนกระทั่งคืนที่ 7 มาถึง!

ขณะเคลิ้มหลับได้ไม่นาน เสียงมอเตอร์ไซค์ดังลั่นก็ปลุกให้สะดุ้งตื่นขึ้น! ตามด้วยเสียงชนโครมไม่ผิดกับเย็นนั้น เล่นเอาดิฉันปากคอแห้งผาก ลืมตาโพลงอยู่ในความมืดสลัว นอนตัวแข็งท่อแทบขยับไม่ได้...ใจสั่นระทึกด้วยความหวาดกลัว ไม่ยอมลุกไปดูที่หน้าต่างอย่างคืนก่อนนั้นอีกแล้ว

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง นอนจากเสียงลมพันวู่หวิวกับยอดไม้สะบัดใบเบาๆ แล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก...ดิฉันพลิกตัวนอนในท่าสบาย หลับตาลง...ก่อนจะเย็นวาบไปตามต้นคอและแผ่นหลัง

"ช่วยด้วย! ผมยังไม่อยากตาย....."

เสียงคร่ำครวญวู่หวิวคล้ายเสียงลมพัดดังแว่วมาเข้าหู พยายามคิดว่าเป็นเสียงลมพัดแต่อุปาทานไปเอง....เสียงนั้นก็ยังดังเคล้า สะอื้นไม่หยุดหย่อน...ผมไม่อยากตาย.....

คุณพระช่วย! ดิฉันมองเห็นใบหน้าขาวซีด ปากอ้าเผยอ น้ำตาไหลรินมาตามร่องแก้มจนเปียกชุ่ม...ภาพในความทรงจำไม่มีวันลืมเลือน! ดิฉันอาจจะฝันไปก็ได้...แต่เสียงนั้นก็ยิ่งดังขึ้น...ดังขึ้นทุกที

ทนไม่ไหวแล้ว! สลัดผ้าห่มลุกไปแหวกม่านหน้าต่างออก มองลงไปเห็นภาพนั้นปรากฏชัดเจนอยู่ในแสงไฟดูเยือกเย็นสิ้นดี

ชายผู้นั้นยังนอนอยู่บนกองเลือดตามเดิม ใบหน้าขาวซีดหันมองพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกช้าๆ ปากอ้าเผยอคล้ายจะส่งเสียงวิงวอน...ช่วยด้วย! ผมยังไม่อยากตาย!

ยอมรับว่าดิฉันสงสัยเหมือนกันที่ตัวเองไม่เป็นลมไป รู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาววูบๆ วาบๆ จ้องมองจนภาพนั้นค่อยเลือนรางหายไปในที่สุด...เซซังขึ้นเตียงสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนจะนอนหลับสนิทตลอดคืน

วันต่อมาก็หาโอกาสไปซื้อโลงศพทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้เขา...ภาพและเสียงน่ากลัวก็หายไป ที่แน่ๆ คือทำให้ดิฉันเข้าใจความหมายของชีวิต รักชีวิตมากยิ่งขึ้นค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น