วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

คลองผีสิง

สมัยเด็กผมอยู่แถวคลองแสนแสบ ไม่ว่ามีนบุรี หนองจอก หัวตะเข้ ลาดกระบัง คลองหลวงแพ่ง สมัยก่อนยังเป็นเรือกสวนไร่นา ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว...ผมเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าที่คลองแสนแสบนี่เอง!

ตอนเย็นๆ ใครนั่งเรือผ่านไปมาจะรู้สึกเยือกเย็นวังเวงใจชอบกล ต้นไม้ใหญ่ๆ ยืนทะมึนอยู่สองฟากฝั่ง กอไผ่โน้มลงมาเรี่ยผิวน้ำ ต้นไทรที่มีผ้าเหลืองผ้าแดงเก่าๆ ขาดวิ่นพันอยู่โคนต้น ห้อยลงมาตามกิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม โดยเฉพาะรากห้อยระย้าลงมาเกือบถึงพื้น แกว่งไกวไปมาตามสายลมที่หวีดหวิวคร่ำครวญไม่หยุดหย่อน

มองเผินๆ เหมือนมีใครกำลังจ้องมองมาจากหลังม่านไทรย้อยก็ไม่รู้

ยิ่งยามพลบค่ำ ท้องฟ้าสีหมากสุกสะท้อนเงาอยู่ในสายน้ำ หันไปมองข้างๆ ก็เห็นพงอ้อกอหญ้าค่อนข้างสูงมืดครึ้ม ไหนจะมีศาลเพียงตาโย้เย้ เอียงกระเท่เร่จะล้มมิล้มแหล่...มาลัยแห้งๆ หลุดล่อนเกือบหมดทุกพวง แถมศาลที่ว่านี่ยังค่อนข้างหนาตาอีกต่างหาก

เขาว่ามีคนตายโหงก็ตั้งศาลเพียงตาที ให้วิญญาณอยู่ที่นั่นซีครับ! เท่านั้นยังไม่พอผ่านไปอีกหน่อยยิ่งน่าวังเวงใจสุดๆ เพราะจะถึงป่าช้าเก่าที่ทิ้งร้างมาหลายสิบปีแล้ว


พวกผู้ใหญ่หลายคนเล่าว่าเคยถูกผีหลอกตอนพายเรือคดเคี้ยวไปตามลำคลอง ถ้าเป็นหน้าน้ำบางแห่งจะมองเห็นรวงข้าวเหลืองอร่ามไปสุดลูกหูลูกตา แต่เย็นๆ ค่ำๆ อย่าได้ริอ่านไปพายเรือเล่นกินลมเข้าเชียว มีหวังโดนผีหลอกไม่รู้ตัว

ตามุดอายุเกือบหกสิบเล่าว่าเคยโดนผีหลอกสาหัส ไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง?

เย็นนั้นตอนปลายปี ตามุดได้ข่าวว่าลูกสาวเจ็บท้องจะคลอดลูก อารามดีใจที่จะได้หลานก็ลงเรืออีแปะพายอ้าวไปทันที...ปรากฏว่าได้หลานชายน่า รักน่าชัง ตามุดก็เชยชมหลานแกจนเลยค่ำถึงได้พายเรือ กลับบ้าน

ขณะที่ผ่านป่าช้าเก่านั่นเอง เรื่องสยองก็อุบัติพลัน!

สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบ ท่ามกลางสายหมอกจางๆ นอกจากเสียงสายลมพัดลู่ไปตามสุมทุมพุ่มไม้กับเสียงระลอกคลื่นกระทบฝั่ง ก็คือเสียงพายกระทบน้ำดังจ๋อมๆ แต่ตามุดชักเอะใจตอนที่แกชักพายขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจ้วงลงไปก็มีเสียง จ๋อมๆ มากระทบหู

มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดใจอยู่ข้างหลัง ชายชราหันไปมองก็เห็นเรือลำหนึ่งพายตามมา ร่างขาวๆ ที่ท้ายเรือดูเหมือนจะเร่งจ้วงพายเร็วขึ้น ขณะที่ตามุดถือพายราน้ำอย่างลืมตัว

เรือลำนั้นพายขึ้นมาตีคู่ ห่างกันไม่ถึงสองวา...แต่มันไม่ใช่เรือธรรมดา

สิ่ง นั้นคือโลงผีชัดๆ ร่างขาวๆ ที่อยู่ท้ายเรือก็คือโครงกระดูกล้วนๆ หัวกะโหลกเจ้ากรรมนั่นหันมายิ้มกว้างกับแก...มาแข่งเรือกันมั้ยวะ?

ตามุดเย็นวาบไปทั้งตัว เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนเหมือนจะเป็นไข้ ใกล้จะสติแตกโดดลงน้ำอยู่รอมร่อ แต่รวบรวมความกล้าหาญจ้วงพายลงน้ำไม่คิดชีวิต โลงอุบาทว์นั่นก็แล่นอ้าวจนน้ำบานตีคู่ไปกับแก พร้อมกับส่งเสียงฮ้าไฮ้ๆๆๆ อย่างสนุกสนาน

"ถ้าเรือล่มข้าคงขาดใจตายไปแล้ว" ตามุดเล่าในวันรุ่งขึ้น "โอย...ผีอะไรมันจะดุฉิบหายวายวอดขนาดนี้ก็ไม่รู้"

ชาวบ้านเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ที่แน่ๆ คือตามุดไม่ยอมไปไหนมาไหนค่ำๆ มืดๆ อีกเลย...จนกระทั่งวันดีคืนดีผมกับพ่อก็ไปตกปลากันสองคน เห็นเรือเพื่อนบ้านหลายลำจอดเรียงรายกันไปเรื่อยๆ เราพายหลบไปแถวป่าช้าเก่าเพราะที่นั่นปลอดคนดี

สรรพสิ่งเงียบเชียบเป็นปกติ เสียแต่เหยื่อตัวอ้วนๆ ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด นานๆ จะวัดขึ้นมาได้ซักที แถมหลุดลงน้ำไปอีกครึ่งต่อครึ่ง...จนกระทั่งมืดค่ำเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว

พ่อเก็บเบ็ด เหลียวซ้ายแลขวาพลางพึมพำว่า...เอาละวะ แค่นี้ก็พอหม้อแกงแล้ว!

ขากลับอากาศค่อนข้างเยือกเย็น ดาวสะพรั่งฟ้า สายลมพัดหวีดหวิวไม่หยุดหย่อนมีหมอกบางๆ ลอยเรี่ยผิวน้ำ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่ตามุดเล่า...ขณะนั้นเอง เสียงพายกินน้ำดังจ๋อมๆ ค่อนข้างหนักหน่วงก็ดังมาจากเบื้องหลัง

ผมเหลียวมองไม่หยุดหย่อน ใจเต้นโครมครามจนแน่ใจว่าสิ่งที่ตามหลังเรามาเป็นเรือจริงๆ ไม่ใช่โลงผีอย่างที่ตามุดเคยเจอ...จนมันพุ่งขึ้นมาตีคู่กับเรา

นรกเป็นพยาน! เรือบดน้ำนั้นสีดำสนิท พอๆ กับร่างที่นั่งอยู่กลางลำเรือ หน้าตาที่หันมามองดำเมื่อม ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง...ท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวนมาจากสองฟากฝั่ง พ่อร้องขึ้นว่า...รีบจ้ำโว้ย!

ผมพายหัว พ่อพายท้าย เราจ้วงกันน้ำบานไม่คิดชีวิต เสียงภูตนรกหัวเราะเย้ยหยันเขย่าขวัญจนผมแทบจะขาดใจตายในพริบตานั้นเอง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถ้าเราจะออกไปตกปลาก็มักแวะหัวเรือเข้าไปในพงหญ้าไม่ห่างจากบ้านนัก ถึงจะได้ปลาน้อยก็ยังดีกว่าขนหัวลุกละครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น